การวิเคราะห์ตลาด,คู่แข่งและวิเคราห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
การวิเคราะห์ตลาด
โดยทั่วไปนักการตลาดจะใช้เครื่องมืออย่างการ วิเคราะห์ตลาด (Marketing Analysis) เพื่อนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม, การตลาด, กลุ่มเป้าหมาย, สภาพการแข่งขัน และสถานที่สำหรับวางสินค้าและบริการของคุณ มาดูกันว่าการวิเคราะห์ตลาดของนักการตลาดส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
– ลักษณะของอุตสาหกรรม : ซึ่งส่วนนี้จะประกอบไปด้วยภาพรวมของอุตสาหกรรม, ข้อมูลสถิติของอุตสาหกรรม, อัตราการเติบโต และแนวโน้มของอุตสาหกรรม
– ตลาดเป้าหมาย (Target Market) : ใครคือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการ โดยข้อมูลเหล่านี้รวมถึงข้อมูลประชากรที่สามารถนำมากำหนดเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงอายุ, เพศ, ระดับรายได้, และไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงขนาดของตลาดเป้าหมาย, ศักยภาพในการซื้อ และแรงจูงใจที่จะเรียกผู้ชม จะทำให้คุณเข้าใจและเข้าถึงตลาดมากยิ่งขึ้น
– รวบรวมวิจัยตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ : โดยศึกษาเนื้อหาเบื้องต้นเหล่านั้น ทั้งกระบวนการดำเนินการวิจัย, สถิติ ที่จะสนับสนุนการวิเคราะห์ตลาดของคุณ
การวิเคราห์คู่แข่ง
– การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitive Analysis) : นอกจากวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์คู่แข่งว่า ใครคือคู่แข่งของคุณ, จุดแข็งและจุดอ่อนของการแข่งขันคืออะไร? เพราะคู่แข่งเปรียบเสมือนสิ่งกีดขวางที่อยู่บนถนน ที่อาจทำให้คุณไม่สามารถเป็นหนึ่งในตลาดได้ ประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
- รวบรวมรายชื่อคู่แข่งทั้งหมด
ระดมสมองกับทีมของคุณในการค้นหาว่าใครบ้างที่เป็นคู่แข่งของแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ ทั้งคู่แข่งหลักและคู่แข่งรองรวมถึงคู่แข่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
2. แยกคู่แข่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่ง คือ คู่แข่งปัจจุบันที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับแบรนด์ ในตำแหน่งและตลาดเดียวกัน อีกกลุ่ม คือ แบรนด์หรือธุรกิจที่คุณอยากจะแข่งขันด้วย ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับคุณ
3. ใส่ข้อมูลคู่แข่งขัน
การวิเคราะห์คู่แข่งจำเป็นต้องมองในทุกๆ มุมตั้งแต่วิสัยทัศน์ คุณค่า มาจนถึงการออกแบบอัตลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity) เช่น พวกโลโก้ การใช้สี การใช้ตัวอักษร และเอามาทำเป็น Template อย่างง่าย เพื่อเปรียบเทียบคู่แข่งทั้งหมดที่มี โดยข้อมูลที่มีควรประกอบไปด้วยหัวใจหลักของแบรนด์ (จุดมุ่งหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ คุณค่า)
- Look and feel เป็นอย่างไร
- คุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ (Value Proposition)
- Tagline
- สินค้าและบริการ
- ลักษณะของลูกค้า (Persona)
- พวกเขาพูดคุยกับลูกค้าอย่างไร
- จุดแข็ง จุดอ่อน
- ความเหมือน / ความแตกต่าง
- อุปสรรค
- ช่องทางการตลาด
- ช่องทางการสื่อสาร
- ช่องทางการทำโฆษณา
- ช่องทางการขาย
- รายได้
- อื่นq
4. วิเคราะห์ธุรกิจของตัวคุณเอง
เมื่อคุณเห็นข้อมูลเปรียบเทียบของคู่แข่งแล้ว ก็ได้เวลาวิเคราะห์ธุรกิจของตัวเอง แล้วลองนำมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งว่า ในแต่ละหัวข้อคุณมีอะไรที่แตกต่าง โดดเด่นหรือด้อยกว่าคู่แข่ง แล้วพยายามคิดให้ออกว่าจุดไหนที่คุณจะมีศักยภาพในการแข่งขัน จุดไหนที่ไม่ควรเข้าไปแข่งขัน จุดไหนคือโอกาสทางการแข่งขัน ซึ่งความท้าทายนั้นก็อยู่ที่ว่าขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ต้องเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนและความถนัดของคุณเองจริงๆ
5.กำหนดจุดเด่นที่แตกต่างของตัวคุณ
เอาจุดเด่นที่ไม่เหมือนคู่แข่ง และต้องเป็นจุดที่มีศักยภาพในการทำตลาด และนำมาวาดภาพตำแหน่งของคุณในตลาด เพื่อดูว่าคุณนั้นอยู่จุดไหนและคู่แข่งอยู่จุดไหน ด้วยการใช้ Positioning Chart ซึ่งก็คือ การหาตำแหน่งของแบรนด์หรือธุรกิจในตลาด (Brand Positioning) โดยการวางตำแหน่งนั้นจะทำให้คุณเห็นว่าคุณจะทำการสื่อสารการตลาด และเน้นจุดขายของคุณอย่างไร
การวิเคราห์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด เพื่อการเพิ่มยอดขาย และภาพลักษณ์ของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในทุกๆ ธุรกิจ เช่นวงการธุรกิจไอที การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนตั้งแต่แรก และไม่ควรกว้างมากเกินไป เช่น เพศ, ช่วงอายุ, , ไลฟ์สไตล์, กำลังซื้อ เป็นต้น จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนั้นได้จริงๆ ว่า กลุ่มลูกค้ากลุ่มนั้นกำลังประสบปัญหาด้านใด และกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาช่วยอะไรเขาได้บ้าง โดยที่เราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้เบื้องต้นจาก
ข้อมูลประชากร (Demographics) คือ ระดับการศึกษา ความสัมพันธ์ การทำงาน ฯลฯ
– ความสนใจ (interest) ความสนใจต่างๆ Shopping สินค้าอะไร แฟชั่น กำลังตัดสินใจด้านไหน เช่น รถยนต์ การศึกษา แฟชั่น งานอดิเรกต่างๆ
– พฤติกรรม (Behaviors) สามารถระบุกิจกรรมที่ทำการท่องเที่ยว ยี่ห้อ โทรศัพท์มือถือที่ใช้
หน้าที่ของแบรนด์คือ วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ใกล้เคียงกับคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการมากที่สุด เพิ่มเติมสำหรับตัวอย่างวิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมาย มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
– แบบทางตรง (Direct Target) คือการเลือกกลุ่มผู้บริโภคผลิตภัณฑ์นั้นๆ ที่ตรงกับสินค้าโดยตรงและมีปัญหา Pain Point เดียวกัน เช่น ยาลดความอ้วน จับกลุ่มคน อ้วน หรือคนที่กำลังจะลดความอ้วน เพื่อเป็น Direct Target
– แบบทางอ้อม (Indirect Target) คือการเลือกกลุ่มผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือเลือกจากปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องสำอางกับพนักงานสาวออฟฟิศในกรุงเทพฯ เลือกข้อมูลประชากร พฤติกรรม ความสนใจแทนที่จะเลือกแค่เพศ อายุ หรือตำแหน่งที่ตั้ง เป็นต้น
หากท่านสนใจระบบจองห้องประชุมสามารถดูระบบทั้งหมดของ SPLITR SMART MEETING ROOM ได้ที่นี่เลย>> คลิกเพื่ออ่าน